สำหรับบล็อกนี้นะครับเป็นบล็อกที่สร้างขึ้นเพื่อการศึกษา
ทั้งนี้เนื้อหาส่วนหนึ่งของบล็อกได้อ้างอิงมาจากหลายๆ เว็บไซค์
ซึ่งผู้จัดทำมิได้มีเจตนารมณ์ที่จะละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญาเเต่อย่างใด
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการนำเสนองาน
บล็อกนี้เป็นบล็อกสำหรับการศึกษา
วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
ผู้นำเสนองานที่ดี
บทที่ 4 ทักษะของผู้นำเสนองานที่ดี
- ลักษณะการนำเสนอที่ดีของผู้นำเสนอ
การนำเสนอ เป็นหนึ่งในทักษะที่ทุกคนจะต้องฝึกฝนให้เกิดขึ้นแก่ตน
เพราะเป็นทางนำมาซึ่งความสำเร็จในการนำผลงาน แผนงาน โครงการและความคิดต่างๆ เสนอเพื่อให้มีการรับรอง
หรือ อนุมัติ นับว่าเป็นสิงสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานและการดำเนินชีวิต
ลักษณะการนำเสนอที่ดี
นอกจากการเลือกรูปแบบของการนำเสนอ
ให้ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว
จะต้องคำนึงถึงลักษณะของการนำเสนอ
ที่จะช่วยให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของการนำเสนอด้วย โดยทั่วไปลักษณะของการนำเสนอที่ดี ควรมีดังต่อไปนี้
1. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน กล่าวคือ
มีความต้องการที่แน่ชัดว่า
เสนอเพื่ออะไร โดยไม่ต้องให้ผู้รับรับการนำเสนอต้องถามว่าต้องการให้พิจารณาอะไร
2.มีรูปแบบการนำเสนอเหมาะสม กล่าวคือ
มีความกระทัดรัดได้ใจความ เรียงลำดับไม่สนใช้ภาษาเข้าใจง่าย ใช้ตาราง
แผนภูมิ แผนภาพ ช่วยให้พิจารณาข้อมูลได้สะดวก
3.เนื้อหาสาระดี กล่าวคือ
มีความน่าเชื่อถือ เที่ยงตรง ถูกต้อง
สมบูรณ์ครบถ้วน ตรงตามความต้องการ
มีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันทันสมัย
และมีเนื้อหาเพียงพอแก่การพิจารณา
4 มี
ข้อเสนอที่ดี กล่าวคือ มีข้อเสนอที่สมเหตูสมผล มีข้อพิจารณาเปรียบเทียบ ทางเลือกที่เห็นได้ชัด เสนอแนะแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน
- คุณสมบัติของผู้นำเสนอ
ในการนำเสนอด้วยวาจา
คุณสมบัติอันเป็นลักษณะประจำตัวของผู้นำเสนอ
ถือได้ว่าเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จในการนำเสนอ
เพราะคุณสมบัติของผู้นำเสนอจะมีอิทธิพลต่อการโน้นน้าวชักจูงให้เกิดความสนใจ ความไว้วางใจ
เชื่อถือ และการยอมรับได้มาก เท่ากับหรือมากกว่าเนื้อหาที่นำเสนอ
ผู้นำเสนอที่ประสพความสำเร็จส่วนใหญ่
จะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. มีบุคลิกดี
2. มีความรู้อย่างถ่องแท้
3. มีความน่าเชื่อถือไว้วางใจ
4. มีความเชื่อมั่นในตนเอง
5. มีภาพลักษณ์ที่ดี
6. มีน้ำเสียงชัดเจน
7. มีจิตวิทยาโน้นน้าวใจ
8. มีความสามารถในการใช้โสตทัศนอุปกรณ์
9. มีความช่างสังเกต
10. มีไหวพริบปฏิภาณในการคำถามดี
- ทักษะของผู้นำเสนอ
ผู้นำเสนอจะต้องศึกษาและฝึกฝนตนเองให้มีทักษะหลายด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้นำเสนอที่ดี
เพราะผู้นำเสนอเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จของการนำเสนอ โดยทั่วไปผู้นำเสนอจะต้องเสริมสร้างทักษะดังต่อไปนี้
1. ทักษะในการคิด (conceptual skill )
ผู้นำเสนอจะต้องเรียนรู้ และ
สร้างความชำนาญชัดเจนในการคิดแม้ว่าจะมีเนื้อหาสาระจากข้อมูลที่มีอยู่
ผู้นำเสนอก็จะต้องคิดพิจารณาเลือกใช้ข้อมูล และลำดับความคิด เพื่อจะนำเสนอให้เหมาะแก่ผู้รับการนำเสนอ ระยะเวลา และโอกาส
2. ทักษะในการฟัง (listening skill ) ผู้นำเสนอจะต้องสดับรับฟัง และสั่งสมปัญญา
เป็นการรอบรู้จากการได้ฟัง
ผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่จะนำเสนอเพื่อนำมากลั่นกรอง เรียบเรียงเป็นเนื้อหาในการนำเสนอ
3. ทักษะในการพูด (speaking skill )ผู้นำเสนอจะต้องฝึกฝนการพูด เพื่อบอกเล่า
เนื่องโน้นน้าวจูงใจ
ให้ผู้รับฟังการนำเสนอเห็นด้วย
อันจะเป็นทางทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการนำเสนอ
4. ทักษะการอ่าน (reading skill ) ผู้นำเสนอจะต้องเป็นนักอ่านที่มีความชำนิชำนาญ
ชัดเจนในการสั่งสมข้อมูล
สามารถประมวลความรู้นำมาใช้ในการนำเสนอได้เพียงพอแก่ความต้องการของผู้รับการนำเสนอ
5. ทักษะในการเขียน (writing skill )ผู้นำเสนอจะต้องเสริมสร้างทักษะการเขียน
เพราะการเขียนเป็นการแสดงความคิด
ความเชื่อ ความรู้ ความรู้สึก
อารมณ์ และ ทัศนคติ ของผู้เขียนให้ผู้อ่านได้ทราบโดยใช้ตัวอักษร การนำเสนอด้วยการเขียนจึงต้องมีความประณีต พิถีพิถันในการเลือกใช้คำด้วยการรู้ความหมายที่แท้จริงของถ้อยคำ และใช้ถ้อยคำให้ถูกต้องเหมาะสม
6. ทักษะในการถ่ายทอด (delivery skill )
ผู้นำเสนอจะต้องฝึกฝนการถ่ายทอดเนื้อหาสาระให้เกิดความเข้าใจถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ ด้วยวิธีนำเสนอในรูปแบบที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และสถานการณ์ในการนำเสนอ
G-mail
9.G-mail
จีเมล (Gmail) เป็นบริการอีเมลฟรีของกูเกิลผ่านทางระบบเว็บเมล POP และ
IMAP โดยในขณะที่โปรแกรมยังอยู่ในระยะพัฒนา (เบต้า)
จีเมลเปิดให้ผู้ที่ได้รับคำเชิญทดลองใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2547 และให้บริการแก่บุคคลทั่วไปเมื่อวันที่
7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 หลังจากนั้นจึงออกจากระยะพัฒนาพร้อมกับบริการอื่น ๆ
ของกูเกิล แอปส์เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปัจจุบันจีเมลรับรองการใช้งาน 54
ภาษารวมถึงภาษาไทย
จีเมลเป็นผู้บุกเบิกการใช้
AJAX ที่ใช้งานจาวาสคริปต์และการใช้งานผ่านทางคีย์บอร์ด ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน
ปัจจุบัน จีเมลเป็นบริการอีเมล์บนเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก
กล่าวคือมากกว่า 425 ล้านคน
พื้นที่เก็บอีเมลของจีเมล
ในระยะแรก จีเมลให้พื้นที่เก็บอีเมล 1 จิกะไบต์ต่อหนึ่งอีเมลของจีเมล
และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา[9]
จีเมลจะเพิ่มพื้นที่ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน
จีเมลให้พื้นที่เก็บอีเมลมากกว่า 10 จิกะไบต์
และยังคงเพิ่มขึ้นทีละน้อยอยู่ตลอดเวลา โดยหากมีการใช้งานมาก
ต้องการความจุเพิ่มขึ้นจากที่ทางจีเมลให้บริการฟรี
สามารถอัปเกรดได้โดยเสียค่าบริการเพิ่ม
โดยความจุที่เพิ่มขึ้นจะใช้ร่วมกันระหว่างบริการ ปีกาซา กูเกิล ด็อกส์ และ จีเมล
- คุณสมบัติของจีเมล
-รับรองระบบ POP3 IMAP และ SMTP รองรับการเพิ่มบัญชี
5 ชื่อ
-มีระบบการค้นหาภายใน
ทั้งที่เป็นอีเมลเฉพาะหมวดหมู่ที่ผู้ใช้กำหนดขึ้น และอีเมลทั้งหมด
-สามารถแท็ก อีเมลเพื่อแยกเป็นหมวดหมู่ได้ มีป้ายกำกับให้โดยเฉพาะ
-มีระบบป้องกันสแปมและป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์และระบบคัดกรองจดหมายขยะด้วยตนเองได้
-มีบริการแชทจากหน้าจอเว็บเบราว์เซอร์ ที่เรียกว่า กูเกิลทอล์ก
โดยรองรับการเชื่อมต่อด้วยกล้องแล้ว
-มีระบบบันทึกอีเมลก่อนส่ง และระบบบันทึกอัตโนมัติ (auto-save) สามารถเซฟอีเมลที่เรากำลังพิมพ์อยู่ได้
ทำให้ถึงแม้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีปัญหา หรือเกิดไฟดับ
เราอาจจะไม่ต้องมาพิมพ์ใหม่ทั้งหมดพร้อมทั้งการเก็บบันทึกไว้เป็บแบบร่างได้ทันที
-สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบหน้าต่างของจีเมลได้
-บริการทั้งหมดเป็นบริการฟรี ยกเว้นการซื้อพื้นที่เก็บอีเมลเพิ่มขึ้นจากพื้นที่ที่จีเมลจัดให้
- การใช้งานของจีเมล
จีเมลนอกจากใช้ในการส่งเมลแล้วเรายังสามารถใช้ในการส่งงานหรือบันทึกงานกล่าวคือหากเราส่งงานไปยังผู้รับงานจะสามารถบันทึกและเราสามารถเรียกกลับมาใช้ได้เสมอ
- หน้าตาของ Gmail
เทปแบ็คอัพเเละการ์ดเมมโมรี
7.เทปแบ็คอัพ
เทปแบ็คอัพ (Tape Backup) เป็นอุปกรณ์สำหรับการสำรองข้อมูล
ซึ่งเหมาะกับการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่มากๆ ขนาดระดับ 10-100 กิกะไบต์เป็นอุปกรณ์สำหรับการ
Backup
ข้อมูลโดยเฉพาะ interface ส่วนใหญ่ เป็นแบบ SCISI II, Ultra SCISI ซึ่งเหมาะกับการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่มาก ๆ ขนาดระดับ 10-100
GB โดยส่วนใหญ่จะใช้สำรองข้อมูลในหน่วยงาน
บริษัท ต่าง ๆ
เพราะว่าผู้ใช้โดยทั่วไปคงไม่มีความจำเป็นถึงกับต้องการสำรองข้อมูลที่ใหญ่
ขนาดนั้น เพราะราคาเครื่องเริ่มต้นค่อนข้างสูงพอสมควร แต่ราคาของตัว Tape ที่นำมา Backup นั้นราคาต่อขนาดแล้วค่อนข้างต่ำกว่าสื่อสำรองข้อมูลแบบอื่น ๆ เพราะฉะนั้น Tape
backup นี้ยังคงไดัรับความนิยมในการนำมาใช้สำรองข้อมูล
ขนาดใหญ่ ๆ
8.การ์ดเมมโมรี
การ์ดเมมโมรี (Memory Card) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาดเล็ก
พัฒนาขึ้น เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เทคโนโลยีแบบต่างๆ เช่น กล้องดิจิทัล
คอมพิวเตอร์มือถือ (Personal Data Assistant - PDA) โทรศัพท์มือถือ
เป็นต้น
ซิบไดร์ฟเเละMagnetic optical Disk Drive
5.ซิบไดร์ฟ
ซิบไดร์ฟ (Zip Drive) เป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่จะมาแทนแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์
มีขนาดความจุ 100 เมกะไบต์ ซึ่งการใช้งานซิปไดร์ฟจะต้องใช้งานกับซิปดิสก์ (Zip Disk) ความสามารถในการเก็บข้อมูลของซิปดิสก์จะเก็บข้อมูลได้มากกว่าฟล็อปปี้ดิสก์
6.Magnetic optical Disk Drive
Magnetic optical Disk Drive เป็นสื่อเก็บข้อมูลขนาด
3.5 นิ้ว ซึ่งมี ขนาดพอๆ กับฟล็อบปี้ดิสก์ แต่ขนาดความจุมากกว่า เพราะว่า MO
Disk drive 1 แผ่นสามารถบันทึกขัอมูลได้ตั้งแต่ 128 เมกะไบต์
จนถึงระดับ 5.2 กิกะไบต์
ซีดีเเละรีมูฟเอเบิลไดร์ฟ
3.ซีดี
ซีดี (Compact Disk - CD) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบดิจิทัล
เป็นสื่อที่มีขนาดความจุสูง เหมาะสำหรับบันทึกข้อมูลแบบมัลติมีเดีย
ซีดีรอมทำมาจากแผ่นพลาสติกกลมบางที่เคลือบด้วยสารโพลีคาร์บอเนต (Poly Carbonate) ทำให้ผิวหน้าเป็นมันสะท้อนแสง
โดยมีการบันทึกข้อมูลเป็นสายเดียว (Single Track) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
120 มิลลิเมตร ปัจจุบันมีซีดีอยู่หลายประเภท ได้แก่ ซีดีเพลง (Audio CD) วีซีดี (Video CD - VCD)
ซีดี-อาร์ (CD Recordable - CD-R) ซีดี-อาร์ดับบลิว (CD-Rewritable - CD-RW) และ ดีวีดี (Digital
Video Disk - DVD)
4.รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ
รีมูฟเอเบิลไดร์ฟ
(Removable Drive) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน
(Drive) สามารถพกพาไปไหนได้โดยต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย
Port USB ปัจจุบันความจุของรีมูฟเอเบิลไดร์ฟ มีตั้งแต่ 8 , 16 , 32 , 64 , 128 จนถึง 1024
เมกะไบต์ ทั้งนี้ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกัน เรียกในชื่ออื่นๆ ได้แก่ Pen Drive , Thump Drive , Flash Drive
ฟล็อบปี้ดิสก์
2.ฟล็อบปี้ดิสก์
แผ่นดิสก์แบบอ่อน
หรือ ฟลอปปีดิสก์ ( Floppy disk) หรือที่นิยมเรียกว่า
แผ่นดิสก์ หรือ ดิสเกตต์ (diskette) หรือ
แผ่นบันทึก เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่อาศัยหลักการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก
โดยทั่วไปมีลักษณะบางกลมและบรรจุอยู่ในแผ่นพลาสติกสี่เหลี่ยม
คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเขียนข้อมูลลงบนฟลอปปีดิสก์ ผ่านทางฟลอปปีดิสก์ไดร์ฟ (floppy disk drive)
เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาด
3.5 นิ้ว มีลักษณะเป็นแผ่นกลมบางทำจากไมลาร์ (Mylar) สามารถบรรจุข้อมูลได้เพียง 1.44 เมกะไบต์ เท่านั้น
- ความจุของฟล็อปปี้ดิสก์แบบต่าง ๆ
ขนาด
|
แบบ
|
ด้านที่บันทึก
|
ความจุข้อมูล
|
5.25 นิ้ว
|
Single sided-Double Density
|
1
|
160/180 KB
|
Double sided-Double Density
|
2
|
320/360 KB
|
|
HD(High Density)
|
2
|
1.2 MB
|
|
3.5 นิ้ว
|
Double sided-Single Density
|
2
|
720 KB
|
Double sided-High Density
|
2
|
1.44 MB
|
|
Double sided-Quad Density
|
2
|
2.88 MB
|
|
3.5 นิ้ว
|
Floptical Disk
|
2
|
120 MB
|
ฮาร์ดดิสก์
บทที่ 3 อุปกรณ์เเละโปรเเกมในการบันทึกงาน
ในการนำเสนองานบางครั้งเราอาจต้องบันทึกงานออกเป็นสองส่วน เพื่อให้สะดวกในการการเรียกใช้ โดยอาศัยอุปกรณ์ (หน่วยความจำรอง)
ในการนำเสนองานบางครั้งเราอาจต้องบันทึกงานออกเป็นสองส่วน เพื่อให้สะดวกในการการเรียกใช้ โดยอาศัยอุปกรณ์ (หน่วยความจำรอง)
หน่วยความจำรอง (Scond Memory) หรือหน่วยความจำภายนอก
(External Memory) เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยสื่อบันทึกข้อมูลและอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลชนิดต่างๆ
ได้แก่
1.ฮาร์ดดิสก์
ฮาร์ดดิสก์(hard disk
drive) หรือ จานบันทึกแบบแข็ง คือ
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่บรรจุข้อมูลแบบไม่ลบเลือน
มีลักษณะเป็นจานโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กซึ่งหมุนอย่างรวดเร็วเมื่อทำงาน
การติดตั้งเข้ากับตัวคอมพิวเตอร์สามารถทำได้ผ่านการต่อเข้ากับแผงวงจรหลัก (motherboard)
ที่มีอินเตอร์เฟซแบบขนาน (PATA) , แบบอนุกรม (SATA)
และแบบเล็ก (SCSI) ทั้งยังสามารถต่อเข้าเครื่องจากภายนอกได้ผ่านทางสายยูเอสบี,
สายไฟร์ไวร์ รวมไปถึงอินเตอร์เฟซอนุกรมแบบต่อนอก (eSATA) ซึ่งทำให้การใช้ฮาร์ดดิสก์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีคอมพิวเตอร์ถาวรเป็นของตนเอง
- ขนาดและความจุ
ความจุของฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปในปัจจุบันนั้นมีตั้งแต่ 20 จิกะไบต์ ถึง 3 เทระไบต์
-ขนาด 8 น้ว (241.3 มิลลิเมตร × 117.5 มิลลิเมตร × 362 มิลลิเมตร) -ขนาด 5.25 นิ้ว (146.1 มิลลิเมตร × 41.4 มิลลิเมตร × 203 มิลลิเมตร) -ขนาด 3.5 นิ้ว (101.6 มิลลิเมตร × 25.4 มิลลิเมตร × 146 มิลลิเมตร) เป็นฮาร์ดดิสก์สำหรับคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop) หรือเซิร์ฟเวอร์ (Server) มีความเร็วในการหมุนจานอยู่ที่ 10,000, 7,200 หรือ 5,400 รอบต่อนาที
โดยมีความจุในปัจจุบันตั้งแต่ 80 จิกะไบต์ ถึง 3 เทระไบต์
-ขนาด 2.5 นิ้ว (69.85 มิลลิเมตร × 9.5–15 มิลลิเมตร × 100 มิลลิเมตร) เป็นฮาร์ดดิสก์สำหรับคอมพิวเตอร์พกพา แล็ปท็อป, UMPC, เน็ตบุ๊ก, อุปกรณ์มัลติมีเดียพกพา
มีความเร็วในการหมุนจานอยู่ที่ 5,400 รอบต่อนาที
โดยมีความจุในปัจจุบันตั้งแต่ 60 จิกะไบต์ ถึง 1 เทระไบต์ -ขนาด 1.8 นิ้ว (55 มิลลิเมตร × 8 มิลลิเมตร × 71 มิลลิเมตร) -ขนาด 1 นิ้ว (43 มิลลิเมตร × 5 มิลลิเมตร × 36.4 มิลลิเมตร) ยิ่งมีความจุมาก
ก็จะยิ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยความต้องการของตลาดในปัจจุบันที่ต้องการแหล่งเก็บข้อมูลที่มีความจุในปริมาณมาก
มีความน่าเชื่อถือในด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
และไม่จำเป็นต้องต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่ใหญ่กว่าอันใดอันหนึ่งได้นำไปสู่ฮาร์ดดิสก์รูปแบบใหม่ต่างๆ
เช่นกลุ่มจานบันทึกข้อมูลอิสระประกอบจำนวนมากที่เรียกว่าเทคโนโลยี เรด
รวมไปถึงฮาร์ดดิสก์ที่มีลักษณะเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย
เพื่อที่ผู้ใช้จะได้สามารถเข้าถึงข้อมูลในปริมาณมากได้ เช่นฮาร์ดแวร์ NAS หน่วยเก็บข้อมูลบนเครือข่าย
เป็นการนำฮาร์ดดิสก์มาทำเป็นเครื่อข่ายส่วนตัว และระบบ SAN (Storage area network) เป็นการนำฮาร์ดดิสก์มาเป็นพื้นที่ส่วนกลางในการเก็บข้อมูล
- การเก็บข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์
ข้อมูลที่เก็บลงในฮาร์ดดิสก์จะอยู่บนเซกเตอร์และแทร็ก
แทร็กเป็นรูปวงกลม ส่วนเซกเตอร์เป็นเสี้ยวหนึ่งของวงกลม อยู่ภายในแทร็กดังรูป
แทร็กแสดงด้วยสีเหลือง ส่วนเซกเตอร์แสดงด้วยสีแดง ภายในเซกเตอร์จะมีจำนวนไบต์คงที่
ยกตัวอย่างเช่น 256 ถึง 512
ขึ้นอยู่กับว่าระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์จะจัดการแบ่งในลักษณะใด เซกเตอร์หลายๆ
เซกเตอร์รวมกันเรียกว่า คลัสเตอร์ (Clusters) ขั้นตอน
ฟอร์แมต ที่เรียกว่า การฟอร์แมตระดับต่ำ (Low -level
format ) เป็นการสร้างแทร็กและเซกเตอร์ใหม่ ส่วนการฟอร์แมตระดับสูง (High-level format) ไม่ได้ไปยุ่งกับแทร็กหรือเซกเตอร์
แต่เป็นการเขียน FAT ซึ่งเป็นการเตรียมดิสก์เพื่อที่เก็บข้อมูลเท่านั้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)